เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ต.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในทางศาสนา เห็นไหม ในทางศาสนาน่ะสอนเหนือโลก ถ้าของทางโลก เห็นไหม ผู้ชนะ...ผู้ชนะผู้นั้นถึงจะมีผลประโยชน์ไง แต่ถ้าทางศาสนา แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ผู้ที่ชนะ เห็นไหม ชนะเขานั่นน่ะเป็นมารทั้งนั้นเลย แต่ในทางโลกเขา ผู้ชนะเขา ผู้ได้ผลประโยชน์นั่นคือเป็นผู้ที่ได้ผลประโยชน์ เห็นไหม ผู้แพ้น่ะเป็นผู้เสียหาย แต่ในทางธรรมผู้แพ้นี่ต่างหากล่ะ ผู้แพ้ เห็นไหม แพ้เป็นพระ เพราะคนที่จะแพ้ได้มันต้องเข้าใจตัวเองก่อน เพราะเราแพ้กันไม่ได้ใช่ไหม เราถึงมีปัญหากัน ที่มีการโต้เถียงกันมีการโต้แย้งกัน เพราะอะไร? เพราะเราแพ้ไม่เป็น เราแพ้ไม่ได้เลย เราต้องชนะตลอดไป

ดูสิ ดูเกมฟุตบอลสิ ถ้าเกมรับ เห็นไหม ผู้ที่เล่นเกมรับ ถ้าเกมรับเหนียวแน่นของเขานี่ เขาก็รักษาของเขาได้ เขาก็ชนะได้ เกมรับแล้วคอยรุกทีหลัง แต่ถ้าเป็นฝ่ายรุก ในทางธุรกิจต้องเป็นฝ่ายรุก อยู่เฉยไม่ได้ อยู่เฉยเป็นว่าธุรกิจเราอยู่นิ่ง เราต้องรุกตลอดเวลา การรุกอย่างนั้นเป็นรุกของทางโลก เห็นไหม ถ้าแพ้เป็นพระเราคอนโทรลได้ไง ถ้าเป็นฝ่ายรุก เห็นไหม เราเพลี่ยงพล้ำไปล่ะ เพลี่ยงพล้ำไปมันก็เสียหาย แต่ถ้าเป็นฝ่ายรับ เราแก้ไขได้ตลอดเวลา ถ้าเป็นฝ่ายรับนี่แพ้เป็นพระ ถ้าชนะเป็นมาร

ความชนะของโลกเขา ชนะเป็นสภาวะแบบนั้น มันทำใจกันไม่ได้ เพราะเราไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ถ้าเข้าใจความเป็นจริงนะ มันเห็นโทษของมัน ถ้าเราเพลี่ยงพล้ำ เราเสียหาย มันนี่นะกล้า กล้าจนเหล็กกล้านี่มันกล้าเกินไป ฟันไปนี่บิ่นหมดนะ มีดนั้นจะเสียหายใช้การไม่ได้ มันต้องกล้าสมควร ความกล้าหาญของศาสนาเรา กล้าหาญในธรรมวินัย

อย่างเช่น ศีล ๕ เห็นไหม ปาณาติปาตา จะไม่รังแกกัน จะมีความเมตตากัน เราทำธุรกิจขนาดไหนเราก็ทำธุรกิจของเราด้วยคุณธรรม เห็นไหม แต่ทำธุรกิจของเขาด้วยไม่คุณธรรม นี่มันเรื่องของโลก ถ้าอย่างนี้มันทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขเราก็ร่มเย็นเป็นสุขไปด้วย เพราะเราก็อยู่ในสังคมอันหนึ่ง

ปลาอยู่ในน้ำนะ ถ้าปลาอยู่ในน้ำ น้ำสะอาด น้ำที่ดี ปลาอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเลย ถ้าน้ำเสียน้ำเป็นพิษขึ้นมาปลาก็อยู่ไม่ได้ สังคมก็เป็นแบบนั้น แต่คนไม่เคยเห็นสังคมแบบนั้น เพราะอะไร? เพราะไม่มีจิตใจสาธารณะ จิตใจนี่จิตใจเห็นแก่ตัว จิตใจเป็นของของเรา ถ้าจิตใจสาธารณะนะ เห็นโลกมันทำไม่ได้ ดูสิ เวลาเราคิดกัน เห็นไหม ทำไมเขาคิดกันอย่างนั้นได้ ทำไมเขาทำอย่างนั้นได้ เขาทำของเขาได้อย่างไร เราเห็นแล้วเราทำไม่ได้ ทำไม่ลง ทำไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันมีความละอาย เห็นไหม หิริ โอตตัปปะ ถ้ามีศาสนาที่มีคุณธรรมขึ้นมานี่ กฎหมายมันเป็นแค่กติกาเขียนไว้เฉยๆ นะ

เหมือนกันเลย ศีลนี่ ศีล ๕ เขาว่า “ศีล ๕ ถือศีล ๕ ถือศีล ๕” ศีล ๕ มันถือที่ไหน นั่นมันกติกานะ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ กติกา เห็นไหม ถ้าศีลจริงๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ๒๑,๐๐๐ ข้อ เห็นไหม มัน ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ นี่สิ่งนี้มันเป็นศีล ถ้าเป็นศีลน่ะ

แต่เวลาสวดปาติโมกข์กัน ๒๒๗ ๒๒๗ นี่เป็นรัฐธรรมนูญ เห็นไหม แล้วมันก็มีแพ่ง มีอาญา ทำผิดนี่ปรับอาบัติ ปรับอาบัติ แล้วมีแพ่ง เห็นไหม แพ่งคือว่านี่ลาภของสงฆ์ เกิดเป็นสงฆ์ ภิกษุน้อมลาภของสงฆ์มาเป็นของตนเป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ นี่โยมถวายเป็นสังฆทาน เป็นของสงฆ์ แล้วภิกษุน้อมลาภของสงฆ์มาเป็นของตัว แต่ถ้าเป็นของสงฆ์แล้ว สงฆ์ที่ฉลาดต้องอุปโลกน์ ของนี้เกิดมาเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์เป็นกองกลางแล้วนี้ให้แบ่งกันให้เป็นธรรม ตั้งแต่เถระ ตั้งแต่เถระศักดิ์ ตั้งแต่ภิกษุ ตั้งแต่สามเณร ตั้งแต่คฤหัสถ์ ทั้งคฤหัสถ์ด้วยนะ คฤหัสถ์นี่ก็ใช้ของสงฆ์ได้

เวลาอุปโลกน์ขึ้นมานี่ถึงคฤหัสถ์เลย เพราะอะไร? เพราะเราเป็นการกสงฆ์ เราทำงานของสงฆ์ เราอยู่ในวัดในวา เห็นไหม เราต้องคัดต้องใช้ต้องสอยของเรา เพราะอะไร? เพราะทุกคนเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน แต่หน้าที่ของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ทำแล้ว เห็นไหม เวลาอุปโลกน์แล้วนี่แบ่งกัน เจือจานกัน สิ่งที่เจือจานกัน ของนี่น้อมลาภสงฆ์มาสู่ตัว เขาไม่ได้ถวาย... เป็นของของสงฆ์แล้วเราเก็บไว้ใช้คนเดียว นี่มันเป็นเปรต มันเป็นเปรต เพราะอะไร? เพราะมันเอาสมบัติสาธารณะมาใช้อยู่คนเดียว

แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ สิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม มันจะเจือจานกันไป สิ่งที่อย่างเป็นเจือจานกันไป ดูอากาศสิ ทุกคนมีสิทธิหายใจ เห็นไหม อากาศเป็นของใครล่ะ อากาศทุกคนมีหายใจ แล้วอากาศมันเป็นประโยชน์ไหม นี่อาหารอันละเอียดไง ลมหายใจนี่อาหารอันละเอียดนะ เราเห็นแต่ว่ากินสิ่งที่กินอาหาร อาหารคือคำข้าว แล้วลมหายใจนี่ ออกซิเจนนี่เป็นอาหารไหม นี่สิ่งที่เป็นอาหาร แล้วอาหารอย่างนี้ต้องซื้อหามาไหม ถ้าซื้อหามาแล้วเวลาเราตายไปออกซิเจนก็อยู่อย่างนี้ ทำไมเราไม่สูดหายใจเข้าไปล่ะ

นี่เวลาเรามีชีวิตอยู่มันถึงเป็นประโยชน์กับเราไง ถ้าเราตายไปแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับใครล่ะ ตายไปเพราะจิตวิญญาณไม่ใช้สมบัติอย่างนี้นะ จิตวิญญาณน่ะอาหารทิพย์ สิ่งที่เป็นทิพย์ เห็นไหม เป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขาก็ใช้ของทิพย์ของเขา ดูนรกอเวจีสิ เขากินอาหารของเขา อาหารของเขาไม่เคยตายนะ ขนาดที่ว่าโดนไฟลุกท่วมท้นจนย่อยสลายไป เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่เป็นบุคคลเก่านั่นนะ เพราะอะไร? เพราะมันยังไม่หมดกรรม ถ้าหมดกรรมแล้วมันหมดไป เห็นไหม นี่สิ่งที่มันไหม้นะ ไหม้เกรียมไปขนาดไหนมันก็ไม่ไหม้ไป

สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ นี่ไงการชนะไง การชนะ การคะคานกัน การเอารัดเอาเปรียบกัน แล้วเวลาผลมันเกิดขึ้นมามันคุ้มค่าไหม? มันไม่คุ้มค่าเพราะอะไร? เพราะเราไม่มีสติ เราถึงทำสภาวะแบบนั้น ถ้าเรามีสติเราทำอย่างนั้นลงไปไหม เราทำลงไปไม่ได้ใช่ไหม

ดูสิ เวลาศาสนาของเรา เห็นไหม ว่าทำอย่างนี้เป็นบาปนะ แล้วก็บอกว่าทำอย่างนี้โลกจะไม่เจริญ ทำอย่างนี้ไปแล้วมันไม่เจริญนะ สังคมไม่เจริญ เพราะอะไร? เพราะว่าเราไม่กล้าทำธุรกิจ ไม่กล้าทำนี่ ถ้ามันเป็นธุรกิจที่เป็นคุณงามความดี ดูสิ ดูเราทำไร่ไถนาขึ้นมา เห็นไหม ดูชาวสวนชาวไร่เขาทำของเขามา นั่นนะอาชีพบริสุทธิ์

ในสมัยโบราณนะ ในสมัยพุทธกาล ดูสิ กษัตริย์ ในตระกูลเศรษฐีเขาจะเลี้ยงลูกเขา จะให้ทำอะไร จะให้คำนวณในวิชาของเรา วิชาคำนวณ วิชาสิ่งต่างๆ เขาบอกว่าไม่ได้หรอก มันเป็นงานหนักทั้งหมดเลย สุดท้ายงานของเขาคืออะไร? คือชาวนา ชาวนานี่ทำนา ทำนามันเป็นสัมมาอาชีวะ แต่ในปัจจุบันอาชีพเกษตรใช่ไหม เราไม่กำหนดราคา เราเป็นฝ่ายเสียหาย ฝ่ายเสียเปรียบ นี่มันเรื่องของโลกนะ เรื่องของโลก

แต่ทุกคนมันมองไปแต่เรื่องของสมมุติขึ้นมา เราสมมุติกันขึ้นมา สิ่งที่เป็นอาหาร สิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สมัยที่ว่าไม่มีเงินทอง สิ่งที่โลกไม่เจริญ สิ่งนี้มันเป็นการดำรงชีวิตที่มีคุณค่า แต่ในปัจจุบันนี้สังคมคือธุรกิจซื้อขายไง การซื้อขายนี่ สิ่งที่ซื้อขายกำหนดราคาขึ้นไปกลายเป็นกระดาษมีคุณค่า สิ่งที่มีคุณค่าเป็นกระดาษที่กินไม่ได้ สิ่งนี้กินไม่ได้เลย ใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ แต่มีคุณค่ามาก เวลาเสื่อมค่าขึ้นมาไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

ข้าวนี่สำคัญกว่านะ อาหารปัจจัยเครื่องอาศัยนี่สำคัญมากเลย อาหารเป็นของแท้ เงินทองนี่เป็นของปลอม แต่ของปลอมเป็นของจริงขึ้นมานะ ของปลอมกินไม่ได้ กระดาษกินไม่ได้หรอก แต่มีคุณค่ามาก แล้ววิ่งแสวงหากันมา ดูทองคำกินได้ไหม? เพชรกินได้ไหม? กินไม่ได้เลย แต่ข้าวกินได้ อาหารนี่กินได้ ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม

พระพุทธเจ้าบอกไว้เลย “ปัจจัยเครื่องอาศัย แม้แต่พระเราต้องบิณฑบาต” สิ่งที่ดำรงชีวิต เพราะชีวิตมันสำคัญ กระดาษมันไม่สำคัญนะ กระดาษมันไปเพิ่มทิฏฐิมานะ เพิ่มทิฏฐิมานะเป็นภาระรับผิดชอบ จนทำลายหัวใจของคน นี่ผู้ที่แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร แพ้เป็นพระแล้วรักษามัน เราใช้มันเป็นประโยชน์ เห็นไหม ชนะเป็นมาร มีมากใช้สอยไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่เป็นประโยชน์ขึ้นมา

ถ้ามีมากแล้วใช้สอยเป็นขึ้นมา ดูสิ ดูอย่างกษัตริย์ เห็นไหม จักรพรรดินี่ที่เป็นพระโพธิสัตว์ เจือจานสังคมนะ ดูแลสังคมหมดเลย สังคมเกิดขึ้นมา สังคมนี่ นี่ไงพระโพธิสัตว์ แล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาตรัสรู้มาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้ามีนิสัยต่อกันจะเชื่อฟังกัน จะฟังแล้วมันเข้าหู

ดูสิ เราไปฟังคนอื่น เห็นไหม เวลาเราคุยกับใคร บางคนฟังพูดกับเรานี่ถูกหูมาก บางคนพูดแล้วขัดหูเรามากเลย มันมาจากไหนน่ะ เห็นหน้ากันมันก็ขัดแย้งกันตั้งแต่ความรู้สึกแล้ว ความรู้สึกนี่ เวรกรรมนี่ สิ่งต่างๆ วัฏฏะมันวนมาอย่างนี้ แล้วสิ่งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดมาเป็นสภาคะ สังคมสภาวะกรรมคือกรรมร่วมกัน เกิดมาร่วมกัน เกิดมาในสังคมเดียวกัน เกิดมากระทบกระเทือนกัน เห็นไหม เกิดมาบาดหมางกัน เกิดมาเชิดชูกัน เกิดมาส่งเสริมกัน การเกิดมามันเกิดมาโดยกรรม ถ้ากรรมดีพาเกิด

สหชาติ การเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดมากเลย ถ้าผู้ที่ใฝ่ธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่จะรู้จักจริตนิสัย จะบอกให้ ดูสิ ดูจากจูฬปันถก เห็นไหม พี่ชายเป็นพระอรหันต์แท้ๆ เลย น้องชายบวชมาด้วยกันแล้วท่องมนต์คำหนึ่งก็ท่องไม่ได้ เห็นไหม พี่ชายเป็นพระอรหันต์บอกให้ “สึกไป สึกไป” นี่ปัญญาแค่นี้ไม่มี ทำอะไรก็ไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาดักอยู่ที่วิหาร วันจะไปสึกบอก

“จูฬปันถก จะไปไหน?”

“จะไปสึก”

“สึกเพราะใคร?”

“พี่ชายให้สึก”

“เธอบวชเพื่อใคร?”

“บวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

“ไม่ต้องสึกๆ นี่เอาผ้าขาวลูบ”

เห็นไหม นี่จริตนิสัย รู้ถึงจริตนิสัย พี่ชายเป็นพระอรหันต์ทำไมสอนน้องชายไม่ได้ พี่ชายเป็นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์นี่รู้ไปหมดเลย แต่สอนน้องชายไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เอาผ้าขาวไปลูบหน้า ผ้านี่ขาวหนอๆ” เห็นไหม ลูบไปๆ ความสกปรกจากมือมันดำออกไป ผ้าขาวเป็นดำหมดเลย มันสะเทือนใจมาก สะเทือนในหัวใจ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วมีอภิญญาด้วย เห็นไหม นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ถึงจริตนิสัย แล้วเราไม่ได้เกิดร่วม เราเกิดปัจจุบันนี้ เกิดในธรรมวินัย ถ้าเราเกิดมานะ อย่างเช่น เราเกิดช่วงหลวงปู่มั่น เข้าไปหานี่ ความรู้สึกอะไร ท่านกำหนดจิตรู้หมดเลย แล้วท่านจะสอนเราได้ แต่เราก็ไม่ได้เกิดร่วมอีกล่ะ เพราะวาสนาของเรา แต่เรามาเกิดร่วมกับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์นี่รุ่นลูก รุ่นนี้ ตั้งแต่ผลไม้ รุ่นแรกจะดีที่สุด รุ่นต่อไป นี่เห็นไหม ดูสิ กรรมพันธุ์มันอ่อนลงๆ

นี่เหมือนกัน ผู้ที่บากบั่น ผู้ที่ค้นคว้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสยัมภูตรัสรู้เองโดยชอบ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ กว่าท่านจะปฏิบัติธรรมมา ทั้งๆ ที่ตำราก็มี ไปปรึกษาใครก็ทำไม่ได้ นี่อินทรีย์ อินทรีย์คือพละ คือกำลังใจ คือเชาวน์ปัญญา คือสิ่งที่ฉงนสนเท่ห์ในหัวใจ หัวใจมันมีความรู้สึก มีความฉงนสนเท่ห์นะ ทำไมสังคมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขารังแกกันอย่างนั้น ทำไมความรู้สึกเราเป็นอย่างนี้ นี่มันฉงนสนเท่ห์ มันได้คิดนะ มันมีสภาวะ มีเหตุมีผลให้เราได้ใช้ความคิด ได้ฝึกฝนขึ้นมา เห็นไหม นี่ปัญญาอย่างนี้มันเกิดมาจากไหน? ความรู้สึกอย่างนี้มันเกิดมาจากไหน?

ความรู้สึกอย่างนี้มันจะเกิดมาจากจิตที่มันสร้างสมบุญญาธิการมา สิ่งที่สร้างสมบุญญาธิการมา แล้วเวลาเกิดสร้างสมบุญญาธิการมา การได้ทำบุญร่วมกันมา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ นางพิมพาอยู่ในศาลาเดียวกันอธิษฐานร่วมเลย ขอเป็นคู่บารมีตลอดไป เห็นไหม สิ่งที่ขอเป็นคู่บารมีนี่สร้างสมกันมา

ดูสิ ดูเทวทัตนี่กำทรายอาฆาตบาดหมางเลย จะตามล้างตามผลาญตลอดไป เห็นไหม กำทรายขึ้นมาแล้วอธิษฐานเลยว่าจะตามล้างตามผลาญไป นี่มันก็มี

สิ่งที่เกิดมา เกิดมาบาดหมางกัน เกิดมาดีกันนี่ สิ่งนี้เราย้อนกลับมาในหัวใจของเรา อภัยให้เขา แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร เห็นไหม เราเป็นฝ่ายแพ้ แพ้เพราะอะไร? แพ้เพราะเราเข้าใจ ไม่ใช่แพ้เพราะยอมแพ้ แพ้เพราะเราไม่ตอบสนอง แพ้เพราะเราควบคุมใจของเราเอง เราเห็นโทษของมันไง ว่าเราทำขึ้นไปแล้วนี่ เราตอบสนองไปแล้วมันจะเกิดความบาดหมางกันไปอีก เกิดความผูกพันไปในหัวใจ หัวใจเราต้องไปใช้เวรใช้กรรมต่อไป เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

เขาสร้างเวรสร้างกรรมของเขามันสุดวิสัย เขาเป็นฝ่ายชนะ เขาเป็นฝ่ายรุกราน มันสุดวิสัยไง เพราะกิเลสในหัวใจของเขาครอบงำเขา เขาคิดว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเขา เขาคิดว่าสิ่งนั้นเป็นคุณงามความดีของเขา เรื่องของเขา

เราไม่ใช่แพ้จนไม่มีหลักการ เราแพ้คือว่าเราไม่ปะทะ เราไม่ปะทะคะคานกับเขา แต่เราแก้ไขของเรา เรามีปัญญาของเรา เราแก้ไขของเรา เราทำตัวของเรา เราเอาตัวของเรารอดได้ เราเอาชีวิตของเรารอดไป เราเอาใจของเราให้พ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ว่าเราเป็นผู้เสียเปรียบ เราจะไปปะทะคะคานกับเขา...ไม่ต้องปะทะกับใคร ทำดีคือดี ความดีของเราคือความดีของเรา เห็นไหม ความนิ่งอยู่ของเรา เราเข้าใจของเรา

ดูสิ เราสมเพชไหม เรามองสิที่เขาทำความผิดกันโดยเขาไม่รู้ตัว เขายังอหังการว่าเขาทำถูกต้อง เขาทำดีงาม เขาจะได้ลงหนังสือพิมพ์ เขาจะได้มีข่าวมีสารของเขาว่าเขามีคุณงามความดี ...ความดีบ้าบอคอแตกอย่างนั้นมันต้องแบกไว้ หัวโขน เห็นไหม

ความดีของเราเราทำดีแล้วใช่ไหม เรารู้ไหมว่าเราทำความดี ทำดีของเราก็คือความดีของเรา เราจะต้องไปให้ใครเชิดชูของเรา มันอยู่ในหัวใจของเรา แล้วสิ่งนี้มันมีคุณค่ามาก เห็นไหม มีคุณค่า ทำดีเพื่อดี ไม่ใช่ดีกับเขา ทำดีเพื่อเรา สิ่งต่างๆ เพื่อเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะเราจะเข้าใจชีวิตของเรา เราเข้าใจชีวิตของเรา ชีวิตของเราเรารู้ของเรา สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจของเรา เห็นไหม “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดนะ เทพเจ้าต่างๆ เทวดาฟ้าดิน ปฏิเสธหมดเลย แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ต้องมาฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิเสธนะ เขาไปบูชากัน พระเจ้าไปบูชากันสู่ข้างนอก ศาสนาพุทธปฏิเสธหมด!

พระเจ้าอยู่ที่หัวใจนี้ พุทธะคือผู้รู้ ความรู้สึกนี้ พระเจ้าอยู่ในความรู้สึกเรานี้ พระเจ้าอยู่กลางหัวใจเรานี้ พระเจ้าอยู่ที่เราอุปัฏฐากที่นี่ เราขอพรเราที่นี่ เราทำของเราที่นี่ แล้วจบกันที่นี่ ตัวเรานี่จะเป็นพระเจ้า เป็นพระอินทร์ ถ้าใครทำคุณงามความดีนี่เกิดเป็นพระอินทร์ เกิดเด็ดขาด! ใครทำชั่วตกนรกอเวจี พระเจ้ามันอยู่ที่ไหน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดนะ ปฏิเสธเรื่องภายนอกทั้งหมดเลย แล้วเชิดชูแต่เรื่องความรู้สึกจากภายในเข้ามา เชิดชูหัวใจของเรา

ถ้าหัวใจทำของเราได้ พระเจ้ามันอยู่ที่นี่ อยู่ในความรู้สึกเรานี่ นี่เทวดา อินทร์ พรหม ก็เราเป็นน่ะ เราไม่เคยเกิดในสวรรค์ อินทร์ พรหมเหรอ? เราไม่เคยเกิดในนรกอเวจีเหรอ? จิตนี้เคยเกิดทั้งนั้น ถ้าจิตนี้เคยเกิดแล้วมันอยู่ที่ไหน? พระเจ้าอยู่ที่ไหน? พระเจ้าอยู่ที่นี่ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธนะ ปฏิเสธเพราะรู้จริง เราเชื่อ ถ้าเราทำไม่ได้ เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราปฏิบัติของเราไป

นี่แพ้เป็นพระนะ ตั้งสติไว้ เรื่องของเขา หน้าที่ของเราทำหน้าที่ของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา ทำดีเพื่อดี เขาจะชั่ว เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา แต่เราจะทำดีของเรา เอวัง